วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2558

01/09/2015 - 05/10/2015 Review September



SET ยังคงแนวโน้มลงอย่างต่อเนื่องไม่มีอะไรใหม่ vol ในตลาดก็ซึมลงอย่างเห็นได้ชัด ตัวเลขทางเศรษฐกิจ ไม่เห็นมีอะไรดีสักอย่าง ช่วงเวลาแบบนี้ ใครมีงานประจำก็ทำไป ธุรกิจเหล็กที่บ้านก็ยังซึมลงไปพร้อมกับภาพรวมเศรษฐกิจ   ยาวหน่อย เล่าให้ฟังละกัน... ช่วงนี้มีคนมาขอใบรับรองแพทย์สมัครงานที่รพ.เราน้อยลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือเลย ปกตินะ นั่งตรวจกันทั้งวัน วันละเป็นร้อย เดือนที่ผ่านมานี่ นั่งอ่านหนังสือจบเป็นเล่ม เล่นเกมจนเบื่อเลย ตรวจได้ 20 คน = = นี่มันแถวเพชรเกษมนะ โรงงานเป็นร้อย ...  มานั่งคิดดู จริงๆเด็กจบมหาลัยใหม่ๆกำลังทะยอยเข้ามาในระบบงานประจำ --อัตราจ้างแรงงานมันควรล้อไปกับเศรษฐกิจ   --แรงงาน คือ รากฐานอุตสาหกรรมในประเทศกำลังพัฒนา --> ถ้าโรงงานเพิ่มกำลังการผลิต ก็ต้องเพิ่มอัตราจ้างแรงงาน --> โรงงานจะเพิ่มกำลังผลิต ก็ต้องมาจาก กำลังซื้อของผู้บริโภค --> ผู้บริโภคอย่างเราจะมีกำลังซื้อ ก็ต้องมีรายได้ --แต่มันสวนทางกัน ตัวเลขหนี้สินต่อครัวเรือนเราสูงขึ้น และสูงขึ้นทุกเรื่อยๆ เอาจริงๆข้อนี้เราเห็นด้วย เพราะเราเองก็มีหนี้ ผ่อนโน่นนี่นั่นเต็มไปหมด บางคนมีหนี้บัตรเครดิตมากกว่าเงินเดือนตัวเองอีก --> ใครก่อหนี้มาลงทุนไว้ ช่วงตลาดหมอบแบบนี้ ก็รัดเข็มขัดกันอยู่แล้ว สมัยนี้ผมว่าพวกเราฉลาดนะ --ขนาดจะใช้เงินเองยังไม่อยากจะใช้เลย  แล้วทุกอย่างก็หมุนเป็นวงจร บริโภคลด ผลิตลดลง งดจ้างแรงงาน แล้วแรงงานไปไหน เค้าก็ต้องทำอะไรที่ง่ายที่สุด ใครมีที่ดินก็กลับไปปลูกอะไรสักอย่าง ขนาดพยาบาลที่รพ. ยังกลับไปปลูกมัน ปลูกอ้อยกันเต็มเลย --> แต่สุดท้ายมันก็มีปัญหาที่ราคาสินค้าเกษตรตกทั้งโลก  --ลงทุนไปก็ไม่คุ้มเท่าไหร่ สุดท้ายรายได้มันก็มีเพดานอยู่ดี --เมื่อเศรษฐกิจไม่เดิน การขนส่งก็หมอบเหมือนกัน สินค้าน้อย ขนส่งน้อย ราคาน้ำมันไม่ได้ลงเพราะ เจอบ่อน้ำมันเพิ่มเติมบนโลกหรอก ปริมาณมันก็เท่าเดิมเนี่ยแหละ  แต่ Supply มันล้น Demand แห้งแล้งแบบนี้ จะเอาน้ำมันไปทำอะไร ขับรถเที่ยว? 10 ปีจะได้สักบาเรลมั๊ย?     แล้วเราต้องทำไง ....เงินไม่ได้เพิ่มพูนหรอก ธุรกิจมันก็เกิดใหม่ได้อยู่ดี  หุ้นลงก็ช่างมัน โลกเรามันก็เหมือนเดิม ความรู้ต่างหากที่ไม่มีวันตาย มันเพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆตราบใดที่ไม่มัวนั่งทำงานไปวันๆ เดือนชนเดือน ตัวอย่างเรา ช่วงนี้อ่านหนังสือเยอะ อยากเรียน MBA อยากเรียนวิชาช่างกลึง อยากเรียนเขียนโปรแกรม ตอนจะพัฒนาโรงงานตัวเอง  มานั่งนึกย้อนไป นี่เรามีความรู้คณิตศาสตร์กับ ฟิสิกส์ แค่ ม.ปลายเอง เรื่องตลกคือ จะต่อวงจรมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ ทำไม่เป็นลืมแล้ว ไปยีนซื้อหนังสือม.ปลาย พอดีเจอน้องคนนึงเลยถามสัญลักษณ์นี้หมายความว่าไงน้อง อธิบายให้พี่ฟังหน่อย นี่เราจะเป็นเจ้าของโรงงานอุตสาหกรรมได้ยังไง แต่แรงบรรดาลใจคือตอนที่มาดูโรงงานตัวเอง พ่อบอกว่าเครื่องขึ้นรูปโลหะนี้ป๊าประดิษฐ์ขึ้นมาเองนะทำจากไฮโดรลิก สร้างเอง ต่อวงจรเองทั้งหมด  จดลิขสิทธิ์แล้ว ห๊ะ! ป๊าจบสัตวแพทย์ไม่ใช่หรอ ไปรู้วงจรพวกนี้ได้ไง  อ้าว ก็อ่านเอาได้ แล้วก็มีตำราให้อีกตั้งนึง....   อย่างตอนเรียนสมัยม.ปลาย เรื่อง vector กับ matrix นะเราสงสัยมากเลยมันจะเอาไปทำบ้าอะไรได้ เรารู้แค่ว่า matrix จะทำให้แก้สมการได้ง่ายขึ้นแล้วไง? จิ้มเครื่องคิดเลขก็ง่ายเหมือนกัน ตอนนี้จะซื้อ robot มาทำงานในโรงงาน ก็ซื้อคู่มือมาเรียนเขียนโปรแกรม robot ก็อ๋อ... คอมพิวเตอร์มันไม่รู้ตัวแปร x,y,z  มันต้องขึ้นตาราง matrix  แล้ว vector ก็เหมือนกันคือป้อนสมการสองมิติ ให้ robot มันมองเป็น 3 มิติ  วันนั้นถึงวันนี้นี่จะ 10 ปีแล้วนะ คิดถึงสมัยเรียนม.ปลาย อันที่จริงวิชาที่เราอ่อนที่สุดคือ ชีวะวิทยา.....  ส่วนเรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึงเลย marketing คืออะไร การบริหารก็ไม่รู้..... รู้แค่ว่าตอนนี้ต้องไปรู้มาให้ได้  เราไม่มีวันรู้หรอกว่าสิ่งที่เราเรียนรู้วันนี้จะใช้ได้เมื่อไหร่ จะใช้ยังไง เพราะวันที่เราต้องใช้ความรู้นั้นมาถึง วันนั้นคำถามเดียวคือ "เรารู้รึยัง"  

โม้ซะนาน RSI ยังใต่ระดับลงไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรให้วิเคราะห์เพิ่ม

Leading index แดง

Port ติดลบนิดหน่อย ยังไม่มีอะไรหวือหวา run robot  100% แทบไม่ได้ดูเลย exposure อยู่แถวๆ 30% ถือว่าโอเค ไม่ Heat เกินไป รอดูให้ผ่านตลาดซึมๆไปก่อน   trend following เจอแบบนี้ก็หมอบไปก่อน ตั้งรับ

Review September 2015



เดือนนี้น่าจะวิเคราะห์สั้นที่สุดแล้ว เพราะเหมือนๆกันทุกตัวเลย ไม่มีตัวไหนพ้นน้ำ มันล้อไปตามตลาด มีค่า correlation ที่เหมือนๆกัน ที่เด่นๆมีแค่ APCS ,TAKUNI,TASCO ที่ trend ยังพอแข็งเทียบกับตลาดอยู่ (ตัวเดิมๆดูกันจนเบื่อ)



 ปล. หลังจากทำธุรกิจได้สักพัก เราก็เริ่มคิดได้.....มานั่งคิดดูนะ ใครๆก็สอน "โตมาให้เป็นนายคน" แต่ในระบบที่เราศึกษาผ่านมาจนวันนี้ ... ความรู้มันก็โอเคนะ แต่มันไม่พอให้เราก้าวมาเป็นนายคนอื่น (ก็นอกจากวิชาลูกเสืออ่านะ) ที่เหลือมันเป็นการเรียนเพื่อป้อนแรงงานเข้าระบบ เค้าสอนให้เราเก่งที่สุดในสายอาชีพ  แล้วไง? เก่งสุด?  

เรื่องแรกคือ พนักงาน  ไม่ว่าเราจะเป็นใคร ตำแหน่งอะไร ยิ่งเงินเดือนสูงเท่าไหร่  ที่ทำงานยอมจ่ายให้เราเพราะเงินเดือนของเราก็คือ เศษเสี้ยวของรายได้จากเบื้องบน อยู่ที่เรามองกว้างพอรึเปล่า ว่าเราเป็นปลาตัวใดในแวดวงของเรา เราทำงานให้ใคร เรื่องนี่นะ เรามองว่า เงินเดือนไม่สำคัญเท่ากับ ความรักในงานที่ทำ รักในตำแหน่งนั้นๆ  ถ้าเหตุผลไม่ได้เริ่มต้นจากความรักในงาน แล้วเราจะรอทำในสิ่งที่ตัวเองรักไปอีกกี่เดือนกี่ปี


เรื่องที่สอง  เราก็เห็นกันอยู่ทุกวัน ทุกที่ อย่างวิชาชีพแพทย์ แพทย์เก่งทุกคนนะ ก็ระดับแนวหน้าของประเทศแล้ว แต่ก็มีรุ่นพี่บ้าง แพทย์พี่เลี้ยงบ้าง แพทย์อาวุโสบ้าง พยาบาล หัวหน้างาน ทุกรพ. ทุกแผนก เรามีคนที่เราเรียกว่า "'งี่เง่า" "เกลียดคนนี้" "staff เอาเปรียบ"  มากมาย.... เชื่อเถอะว่าเราพูดจริง เราไม่เคยเห็นเพื่อนแพทย์คนไหนของเราไม่บ่นเลยนะ   แม้กระทั่งรุ่นเดียวกันบางคนก็เป็นคนที่"คนอื่นบ่น"ซะเอง  เยอะแยะน่า  มันเป็นสัจธรรมของวัฒนธรรมทุนนิยม ปลาใหญ่กินปลาเล็กเสมอ  ทุกสายอาชีพ ทุกที่ทำงาน   ที่ๆมีความสุข มันขึ้นกับสิ่งๆเดียว ไม่ใช่ปริมาณงานหนักหรอก มันคือ"ความสัมพันธ์"ของคน เนี่ยแหละ  " ความสุขในชีวิตของปลาตัวเล็กขึ้นกับปลารอบข้างของมัน " นอกเสียจากเราจะเป็น"นายคน"ซะเอง