วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

03/11/2015 - 30/06/2016 Flat Return (Human , Robot , Paper trade)




ได้ฤกษ์มา update สักที ผ่านมาครึ่งปี มัวแต่ยุ่งกับการหาซื้อที่ดินกับเปิดโรงงาน ช่วงหลังจากธันวาคมไปก็ไม่ค่อยได้สนใจหุ้นเลย รวม port แล้วก็ run ซื้อ/ขาย 80% มาจาก robot หมด มีขายลด port เองบ้าง มาดูกันดีกว่า จะได้กลับเข้ามาเล่นเองบ้างแล้ว

SET เป็นขาลงมาตลอดทางตั้งแต่ต้นปี 2015 แล้วมา peak ที่ช่วงปลายปีพอดี แต่พอเริ่มปี 2016 ก็เป็นขาขึ้นมาตลอด แต่มาเกิด signal เป็น bullish ชัดๆเมื่อสิ้นเดือนกุมภาฯ ดัชนีก็เลี้ยงตาม trend line มาเรื่อยๆจนเข้า พค. ก็เรื่อมอ่อนแอ ความชันน้อยลง SET เลยเบ้เข้าหา trend line(ส่วนมันตัด trend line เป็นขาลงรึยัง ก็ยังสรุปไม่ได้ เพราะ trend line เอาไว้ศึกษาอดีต คือมองย้อนหลังยังไงก็ถูก เพราะฉะนั้นยังไม่สรุป wave นี้ยังไม่จบ) สอดคล้องกับ RSI ที่สวนทาง กับ SET index  แบบนี้ก็เป็น divergence กัน แทงขาลงในเวลาอันใกล้ Distribution Day ก็สะสมมาขึ้นเรื่อยๆ ต้องระวัง อาจจะถอยมาบ้างในเดือนหน้า   ช่วงนี้เลยเป็นช่วงก้ำกึ่งพอดี คือ ถ้าเอาตามเนื้อผ้าที่เห็นตอนนี้แท่งนี้วันนี้ 30/6/2016 SET ยังคงอยู่ใน  UpTrend  หรือขาขึ้นอยู่   กลับกันถ้าคิดว่า Trend ตอนนี้เริ่มไม่แข็งแรงแล้ว ข่าวก็ไม่ดี มี Brexit เศรษฐกิจก็ยังไม่ดี หุ้นก็เป็นเรื่องของอนาคตไป

RSI มีแนวโน้มขึ้นมากกว่าลง

Leading ไฟเขียว

Exposure 91.32% หุ้นที่ถืออยู่คือ
BAT-3K,BTSGIF,BCH,BEAUTY,BWG,COM7,CPTGF,CHG,GLOBAL,HMPRO,
LPH,MACO,ML,NOBLE,PACE,RML,ROBINS,SYNEX,THAI,THANI,TMC,
TWZ,VGI,VIH,YUASA
หนักไปที่ THAI

Feedback portfolio


บอกก่อนว่า performance ตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมายังย่ำแย่อย่างต่อเนื่องแบบ เต่าถุย ห่วยแตกมาก 5555  เอามาตีแผ่ให้ดูกัน แบบก็.....นะ วิเคราะห์จุดที่ควรแก้ไขกัน แล้วนี่ก็คือผลการทดลองร่วมปีกว่าๆ

เริ่ม
กราฟบนคือกราฟ equity เทียบเป็น % ส่วนอันล่างสีแดงเป็นกราฟ Drawdown ปริมาณขาดทุนจากจุดสูงสุด เป็น %

อันนี้ตัดเอามาเฉพาะช่วงต้นปี 2014 ถึง 30/06/2016  ที่ทะยานขึ้นไปทำจุดสูงสุดในต้นปี 2015 หลังจากนั้นก็ไม่เคยได้กำไรอีกเลย  MaxDD ไปแตะที่ 32% ถือเป็นปีที่ย่ำแย่ที่สุด และยังเป็น new MaxDD ที่ระบบไม่เคยเจอมาก่อนด้วย ดูจากกราฟอาจจะรู้สึกว่าไม่เห็นเยอะเท่าไหร่  พอมามองย้อนหลังแบบนี้ก็ดูไม่น่าเจ็บปวดเท่าไหร่  แต่ในเหตุการณ์จริงเมื่อ 2 ปีก่อน ช่วงวันที่หุ้นขึ้นไปสู่จุดสูงสุด  เป็นความรูปสึกที่โคตร happy ประมาณว่า ลาออกดีมั๊ย(ความคิดลาออกจากแพทย์รอบที่ 10 ได้)  แล้วตามมาด้วยหมีฝูงยักษ์..... แบบไม่ทันรู้ตัวด้วย มารู้อีกทีก็เสียไปเยอะแล้ว.... (มันช่างเป็นเรื่องเล่าที่ซำ้ไป ซ้ำมา จากประสบการณ์หลายๆคนที่เคยอ่าน แต่สุดท้ายก็เป็นเองอยู่ดี)



ย้อนไปวันที่ equity สูงสุด ตัดเอากราฟตั้งแต่ช่วงนั้น แถวๆต้นปี 2015 มาให้ดู Drawdown รูปนี้คือกราฟ Drawdown เริ่มที่จุดสูงสุด คือยังไม่ขาดทุนจากจุดสูงสุดเลย (0%) แล้วหลังจากนั้นยังจำได้ว่าลงแค่ 2 วัน หมดไป 10% ของทั้ง port ตอนนั้นทั้งกระดานแดงไปหมด อย่างกับดูหนังเรื่อง kill bill ยื้ออยู่อาทิตย์นึง แล้วก็ทิ้งต่ออีก -5% หลังจากนั้นลด port มาประมาณนึง แล้วก็เข้าไปใหม่อีก ก็โดนทิ้งไปอีก คราวนี้ 25%  แล้วก็เหวี่ยงอยู่แถวนี้ตลอด (ลองคิดเล่นๆดู มันเหมือนคุณมีเงินอยู่ 5 ล้าน อยู่ดีๆ 2 อาทิตย์ก็หายไป 1 ล้านบาท แล้วก็ยังเอาคือมาไม่ได้ 1 ปีกว่าๆแล้ว !)
ช่วงนั้นคิดว่า เรา aggressive เกินไปรึเปล่านะ... หรือว่าระบบผิดพลาด  (เป็นที่เรา หรือ ระบบมันไม่ work) แผนสำรองที่เตรียมไว้ คือ port ใหญ่อีก port นึงที่ run robot 100% ไว้ตลอดเวลา ว่าจะไม่เปิดดูเลย แต่ก็ถึงเวลาแล้ว....


ก่อนอื่นมาดู Paper trade กันก่อน (backtest จากโปรแกรม ที่เงินต้น 1 ล้าน รวมค่าคอม และslippage handicap ทั้งหลายแล้ว) 2014-2016 เช่นกัน แต่คราวนี้เป็น trade ในกระดาษทดลอง


สวยหรูเสมอสำหรับ run backtest ก็ต้องเข้าใจด้วยว่ายังมีหุ้นบางตัวที่ไม่กล้าซื้อ กราฟไม่งาม รวมๆอยู่ในนี้ด้วย รวมไปถึง ช่วงขาลงหนักๆ เราจะ limit exposure ไว้ตามแผนนอกเหนือไปจากการเขียนโปรแกรม (รวมไปถึง port ต่อไปข้างล่างนี้ด้วย ที่ได้มี limit exposure ไว้อิงตาม leading index) ถ้าดู drawdown แล้วมันก็จะใกล้เคียงกันพอสมควร แต่ profit outcome ต่างกันมาก .....เอ๊ะ!  ปล.นี่หรือว่า limit exposure ไม่มีประโยชน์ แถมยังแย่ลงด้วย เพราะ MaxDD ก็เท่ากัน แต่ outcome ไม่เท่ากัน ก็เป็นคำถามที่น่าสนใจ ต้องวิจัยต่อไป แนวคิดในการ limit exposure ค่อนข้างมีเหตุผล ทำเพื่อลด MaxDD ลดความเสี่ยงในตลอดลง ในขณะที่ยังคงมี position อยู่ในหุ้น  แต่เจอแบบนี้สงสัยต้องคิดกันยาวๆ


ต่อมาลองเทียบกับชีวิตจริง  Port Robot กราฟนี้คือระบบที่เอามา trade จริง 2014-2016 โดยมี Human error น้อยที่สุดแล้ว run เป็น Robot คู่กันกับ port แรกที่เป็น Discrete Trade(Intro เคยพูดไปแล้ว)



จริงๆมันแทบไม่ต่างกันเลย หลังจากต้นปี 2015 ก็ทำ drawdown เหมือนกัน  performance ก็เป็น flat return  ยาวนานนับปีเหมือนกัน   MaxDD 30% เหมือนกัน  แต่สิ่งที่ต่างคือ volatile น้อยกว่า ซ้ำแล้วก็กำลังขึ้นไปจ่อ New high นี่   "volatile น้อยส่งผลถึง outcome ที่ดีด้วย?"  และยิ่งไปกว่านั้นจำนวนการ trade น้อยกว่าระบบที่เล่นเองอย่างมีนัยะ  ซึ่งสวนทางกับ winning rate ที่ต่ำกว่า ระบบที่เล่นเองอย่างมีนัยะด้วย    (พูดง่ายๆคือ Robot ซื้อน้อยตัว และยังซื้อยังจะขาดทุนบ่อยกว่ามากอีกด้วย)     แล้วทำไม outcome มันดีกว่าอย่างมีนัยะขนาดนี้   เหตุผลง่ายๆเลย มาจากหุ้นไม่กี่ตัว TNH,BEAUTY,CHG,THAI แค่นั้นเอง! หุ้นที่ระบบซื้อที่เหลือขาดทุนแทบจะเกือบทั้งหมดตลอด 1 ปีกว่าๆ

ก็เลยมาคิดได้ว่า จริงๆแล้วระบบ Trend following นี่ diversified เยอะแบบ port ที่เล่นเอง ไม่ค่อยดีเลย (หรือเราเล่นไม่ดี = = แต่มันก็ระบบเดียวกันนะ) เข้าใจว่า diversified มันก็น่าจะเพิ่มจำนวน trade น่าจะเข้าใกล้สถิติใน paper trade มากขึ้น  Volatile น้อยลง แต่เอาจริงๆไกล้เคียงแค่ average profit/loss % ไม่ได้หมายถึง profit outcome

หรือจริงๆแล้ว performance โดยรวมมันไม่ได้อาศัยหุ้นขึ้นหลายๆตัว แต่มันอาศัยหุ้นที่ทำโฮมรัน! (คือความรู้นี้มันก็มีมานานแล้วนะ แต่ไม่คิดว่ามันจะ effect ขนาดนี้) ไม่สิพูดให้ถูกคือ "focus หุ้นทำให้ performance ดีกว่า diversified?"  เพราะสถิติมันน่าเหลือเชื่อมากเลย Robot มี winning rate 25% เอง ตั้งแต่ปี 2015 ถึงตอนนี้ พูดง่ายๆซื้อ 10 ตัวได้กำไร 2 ตัว แล้วทั้งหมดเป็นร้อยเทรด มีโฮมรัน 4 ตัว! เท่านั้น แค่นั้น

ปีสองปีอาจจะยังน้อยเกินไปในการสรุป คงต้องใช้เวลาอย่างน้อยๆสัก 5 ปีขึ้นไป
แต่เท่าที่ศึกษาจะเซียนหลายๆท่าน ก็รู้สึกว่าจริงๆมันจะมีหุ้นไม่กี่ตัวเท่านั้น ที่จะเป็นหุ้นเปลี่ยนชีวิต เพราะฉะนั้นคิดว่าการ focus น่าจะเข้ากับธรรมชาติของตลาดหุ้นได้ดี

สรุปแผนที่น่าสนใจ
1) พยายาม Focus หุ้นให้มากขึ้น  ลดการ diversified ลง
2) ทำให้ Volatile น้อยลง อันนี้จะลองหา indicator มาจับ คิดว่าคงหนีไปพ้น ATR กับ ADX ขอศึกษาอีกที
3) เรื่อง Limit exposure คิดว่าถ้า Focus หุ้นมากขึ้นแล้วน่าจะส่งผลโดมิโนมาที่ exposure ด้วย อาจจะดีขึ้น ยังไม่มีแผนเปลี่ยนตอนนี้ เพราะเดียวไม่รู้อะไรเป็นสาเหตุอะไรเป็นผลกันแน่

Year-To-Date 

ณ วันที่ 30/06/2016

SET มี YTD 12.19%  เป็นปีที่ขึ้น smooth มากเลยนะ ลองปิดตาปิดหูไม่ฟังข่าว มาดูกราฟ อืมไม่เลวเลย จริงไหม


Port ที่เล่นเอง มี YTD  6.83%   ถือว่าแย่กว่ามาตราฐานมาก เมื่อเทียบกับ SET  ไปถือกองทุนรวยกว่า



Port Robot มี YTD 10.84% ถือว่าใกล้เคียง SET แต่ก็ยังแพ้ตลาด อยู่ปลายจมูก



Paper Trade (backtest)  มี YTD  26.05%  ช่วยไม่ได้ มันซัด TNH ไปครึ่ง Port  (แต่ Drawdown 18% นะ  เทียบกับ trade เอง Drawdown ไม่ถึง 10% น่าจะนอนหลับสบายกว่า)


ถ้าเอา TNH ออก 1 ตัวเท่านั้น YTD ก็จะพลิกเกมทันที -0.38%  Butterfly effect ชัดๆ +26% กับติดลบ = =!   (แถม Drawdown 20%)




Momentum ครึ่งปี (ROC 6 เดือน)


ปีนี้เป็นปีที่มีหุ้นวิ่งมามากกว่า 50% เต็มไปหมด ถ้าใช้ระบบ Rotational trade จะได้ผลดีมากถึงมากที่สุด ปีนี้กองทุนก็น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีเอาเรื่องทีเดียว แต่ก็ไปกระจุกตัวอยู่ที่หุ้นระดับกลางๆ



THAI ถือเป็น winning สำหรับปีนี้เลย สิ้นปีคิดว่านะจะอยู่ 1 ใน 10 ของ super stock ได้ไม่ยากเลย (ปีที่แล้ว super stock คือ TAPAC ที่ขึ้นแท่นอันดับหนึ่งเดือนแล้วเดือนเล่า)


BIG เป็นหุ้นที่ไม่ได้ซื้อเลย อยู่นอกสายตา ได้แต่มองตาปริบๆ สุดยอด คิดถึง BTS เหมือน 4 ปีที่แล้วเลย มาแนวเดียวกันขึ้นนิ่งๆเรียบๆ


BAT-3K หุ้นแบบนี้จุดพลุ 2 วัน กราฟไม่สวย แต่กำไรดี รถเราเสียบ่อยนะ แต่ยังไม่เคยแบตหมด = =
ปล.แต่ momentum อันดับ 1 ของเดือนที่ผ่านมา


QTC หุ้นพลังงาน พื้นฐานใช้ได้เลยนะ เห็นคนเชียร์เยอะ พวกเราก็น่าจะรู้จักกันแล้ว


TNH ขนาดย่อลงมาแล้วนะ ยังติด 1 ใน 5 momentum ที่ดีที่สุด ในช่วงครึ่งปีแรก ไม่ค่อยอยากพูดถึงเลย เป็นหุ้นที่เก็บมาน้อยมาก เพราะสภาพคล่องน้อย(ในตอนที่มีสัญญาณ) แต่คือ winning ที่สำคัญมาก พลาดไปแล้ว...


GL เป็นอีกตัวที่ค่อนข้างแข็งแกร่งที่เดียว ขายไปแล้วตอนย่อลง ไม่กล้าเข้าไปใหม่ RSI เริ่มไม่ดี


TVD ขึ้น smooth มากๆจนมาตัด MA ถือเป็นหุ้นดีมาก เพียงแต่สภาพคล่องตอนจะเกิดสัญญาณ ไม่กล้าเข้าเยอะ


COM7 ลากยาวมาตั้งแต่ปีที่แล้ว คือ character แบบนี้ มันขึ้นค่อนข้างช้า trailing วิ่งตามมาใกล้ๆกัน ทำให้เข้าออกบ่อยเกินไป อันนี้เป็นตัวอย่างว่า ถ้าระบบ trailing ช้าๆ อืดๆ ตัวนี้จะกำไรดีมาก  กลับกัน ถ้า trailing เร็ว ตัวนี้จะเท่าๆทุน ถึงแม้มองภาพรวมเป็นขาขึ้นก็ตามที  แค่ระบบไม่ match แต่สุดท้ายมันก็จะไป match กับตัวอื่นแทน อย่าง TVD,QTC ขึ้นแรง trailing เร็วๆก็จะดีกว่า


CMR สภาพคล่องน้อยไป


DTC จะไปขึ้นไหนก็ไปเถอะ  นะ


VIH กลุ่ม รพ. ไม่มี  BH เป็น lead ปีนี้กลุ่มโรงพยาบาลก็เหงาไปเลย  จริงๆ  VIH  โรงพยาบาลวิชัยเวช เป็นคู่แข่งกับ มหาชัย ที่เราอยู่พอดี 555 แถมยังมีสาขาตั้งข้างๆกันอีก  ฝ่ายการตลาดเค้ารุกพอสมควร ถึงขนาดตัดราคากันดื้อๆ เพื่อแย่งฉีด vaccine ให้โรงเรียนแถวนี้  รถ Emergency ก็ดีกว่าของมหาชัยเยอะ วิชัยเวชสร้างระบบรับ-ส่งผู้ป่วยฉุกเฉินของตัวเองได้ดี รพ.รัฐแถวนี้ยังจ้างรถจากวิชัยเวชเลย  หลายๆคนอาจจะงง   จริงๆแล้วระบบรับส่งผู้ป่วย emergency รพ.หลายๆแห่งก็จ้างรถข้างนอกวิ่งก็มีนะ  ถือเป็นธุรกิจย่อยที่ได้กำไรดีมาก  ดีกว่ารถสาธารณะเยอะ  วิ่งครั้งนึงก็ครึ่งหมื่นเข้าไปแล้ว  ยังนับเป็นกิโลอีก ใน 24 ชม ก็วิ่งกันทั้งวัน บางวันแค่เรานับรอบเล่นๆ ระหว่างตรวจ ER เราก็ว่าเป็นแสนๆบาทต่อวันเลยนะ  ถือว่า margin เยอะ   แล้วปัจจุบันก็กำลังบูมใน กทม เพราะรถติด อยากให้ผู้ป่วยถึงโรงพยาบาลเร็วที่สุด  คนรวยมี BENZ BMW จะกี่ turbo ก็ตายที่ไฟแดงรถคันหน้าหมด    รถ emergency จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด  .......ออกทะเลไปไกลแล้ว จบๆ

บทความนี้ยาวไปแล้วไว้วิเคราะห์ครั้งหน้า