Downtrend นี้ช่างยืดเยื้อ เอางานที่เคยวิจัยมาเขียน จริงๆเขียนไว้นานแล้ว ว่าจะลงๆ ก็ไม่ได้ลงซะที ช่วงเงียบเหงาแบบนี้แหละ ^ ^ มาดูทฤษฎีที่น่าสนใจกันดีกว่า เก่าแก่ แต่ก็ยังเก๋าเกม เห็นเราโพส review of the month ที่ดูๆไปอาจจะไม่มีอะไรหวือหวา บางคนอาจจะคิดว่ามันใช้ประโยชน์อะไรไม่เห็นได้เลย เราเลยขอแชร์ความรู้ ที่มาที่ไปว่าทำไมเรามานั่งดูทุกเดือน และให้ความสำคัญกับ ROC (Rate of Change) ที่มาของตารางเรียงอันดับหุ้นแค่รูปเดียวต่อเดือน แต่เบื้องหลังนั้นลึกซึ้ง
Monthly Rotational System
Monthly Rotational System
Momentum แปลพจนานุกรม = แรงผลักดัน แรงกระตุ้น
ในทางฟิสิกส์นั้นอธิบายถึงปริมาณการเคลื่อนที่ของวัตถุหรือระบบ วัดได้จากมวลของวัตถุกับความเร็วของมัน
จริงๆมันไม่มีอะไรมากเลย มันเป็นแค่หน่วยวัดหนึ่งเท่านั้นเอง เวลาวัตถุเคลื่อนที่ก็จะมี”ระยะ”เป็นตัวบอกระยะทางใกล้ไกลเพื่อใช้ในการเปรียบเทียบ แต่ในมิติของหุ้นนั้น “ระยะ”ก็คือปริมาณที่ราคานั้นขึ้นหรือลง แล้วก็มี”คาบเวลา”ติดมาเสมอ หมายความว่าเมื่อเวลาเปลี่ยนไปเราสามารถจะวัดปริมาณการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ 2 จุดอ้างอิงใดๆ ในทางกลับกัน เรื่องของฟิสิกส์ มันก็คือความเร็วนั่นเอง
จริงๆมันไม่มีอะไรมากเลย มันเป็นแค่หน่วยวัดหนึ่งเท่านั้นเอง เวลาวัตถุเคลื่อนที่ก็จะมี”ระยะ”เป็นตัวบอกระยะทางใกล้ไกลเพื่อใช้ในการเปรียบเทียบ แต่ในมิติของหุ้นนั้น “ระยะ”ก็คือปริมาณที่ราคานั้นขึ้นหรือลง แล้วก็มี”คาบเวลา”ติดมาเสมอ หมายความว่าเมื่อเวลาเปลี่ยนไปเราสามารถจะวัดปริมาณการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ 2 จุดอ้างอิงใดๆ ในทางกลับกัน เรื่องของฟิสิกส์ มันก็คือความเร็วนั่นเอง
ตัวอย่างเช่น
หุ้นราคา 2.50 บาท วันต่อมาขึ้นมาเป็น 2.55 บาท แสดงว่า 1 วันผ่านไปปริมาณราคา
ขึ้น/บวก 0.05 บาท
แปลความได้ว่า หุ้นตัวนี้มีความเร็ว +0.05 บาท/1 วัน [ต้องกำหนดเครื่องหมายด้วย
เนื่องจากเป็นปริมาณทาง vector ต้องมีทิศทาง]
มาดูอีกตัวอย่างหนึ่ง
หุ้นราคา 5.00 บาท ผ่านไป 1 เดือน
(~20 วันที่ตลาดหลักทรัพย์เปิดการซื้อขาย) ราคาเป็น 4.00 บาท แสดงว่า 20 วันผ่านไปราคา
ลง/ลบ 1.00 บาท
แปลความได้ว่าหุ้นตัวนี้มีความเร็ว -1.00 บาท/20 วัน เท่ากับ -0.05 บาท/1วัน
สรุปได้ว่าจริงๆการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของทั้ง
2 หุ้นนี้เท่ากันแต่ทิศทางต่างกันเท่านั้นเอง
ปล.
นี่เป็นตัวอย่างที่คำนวนอย่างง่ายสุดเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น
จริงๆแล้วการขึ้นลงของราคาหุ้นจะใช้วิธีการลบแล้วหารแบบง่ายนี้ไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมเท่าไหร่
วิธีการวันระยะของการเคลื่อนที่ของราคาจริงๆนั้นต้องใช้หลักการ “Periodic return” หรือ Continuous Compounding ที่จะใช้ logarithm คิดเป็นสัดส่วนแทน เนื่องจากในทาง finance “ราคา” เป็นอัตราทบต้น เรามักจะใช้คำว่า”เติบโต” หรือ
“หดตัว” เนื่องจากโลกทางการเงินเราดูที่”อัตราส่วน %” เป็นหลัก
ไม่ใช่”ปริมาณ”เพียงอย่างเดียว
หรือ ราคานั้นเติบโตแบบอัตราทบต้นนั่นเอง
ทีนี้ก่อนเราจะเข้าเรื่องกัน ผมอยากให้ลืมหลักการต่างๆไปให้หมดก่อน แล้วก็ค่อยๆคิดตามนะครับ
ทีนี้ก่อนเราจะเข้าเรื่องกัน ผมอยากให้ลืมหลักการต่างๆไปให้หมดก่อน แล้วก็ค่อยๆคิดตามนะครับ
การซื้อหุ้น
เป้าหมายของทุกคนนั้นแทบจะเรียกว่าเหมือนกันหมดทั้ง 100 % ไม่ว่าจะซื้อกินปันผลอย่างเดียวหรือไม่ก็ตาม
มันจะกลับมาที่พื้นฐาน คือ เราซื้อหุ้นแล้วต้องการให้หุ้นขึ้น แค่ หุ้น”ขึ้น” ได้กำไร
มันเท่านี้เอง ไม่ว่ามันจะเป็นหลักการลงทุนใดๆในโลกนี้
มันก็แค่ทิศทางที่ได้กำไรเท่านั้นแหละ
ผมถามว่าถ้าเป็นไปได้เราจะซื้อหุ้นแบบไหน
....== แน่นอนอยู่แล้ว ถ้ามีหุ้นทั้งตลาด 600 ตัว เราย่อมต้องการหุ้นที่”ขึ้น” แค่นั้น! ถูกไหมครับ เพียงแต่มันดันมีหุ้นเยอะเกิน ก็จะต้องมาเลือกและเปรียบเทียบกันก่อน...
หุ้นขึ้นเนี่ย มันก็ขึ้นเป็นร้อยๆตัวต่อวัน เมื่อมันดันมีตัวเปรียบเทียบ
เราก็ต้องซื้อหุ้นที่”ขึ้น” แล้วเรายังต้องการอัตราการเคลื่อนที่ขึ้นที่”เร็วที่สุด”ด้วย
จะได้กำไรทันที และได้เยอะด้วย จริงไหมครับ
ไม่ต้องมีความรู้อย่างอื่น
เราเพียงแต่ลองใช้สูตรอย่างง่ายข้างต้นมาคำนวน ซึ่งเราต้องการเพียงราคา ณ
ตำแหน่งใดๆของ 2 จุดของเวลา( 1 คาบ) กี่วันกี่แท่งก็ว่ากันไป
หาความเร็วในการเปลี่ยนแปลงราคาที่เป็นบวกเยอะที่สุด ง่ายๆแค่นี้
เราก็จะรู้แล้วว่าหุ้นในตลาด 600 ตัว
ตัวไหนวิ่งไวที่สุด จับมาเรียงกัน เราแค่ต้องเลือกตัวที่วิ่งไวที่สุด
....
แต่ปัญหามันก็เกิดขึ้น
=> อัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาที่คำนวนได้นั้น
ต้องนำราคาที่เกิดขึ้นก่อนแล้วใน”อดีต” => แล้วเราจะรู้ได้ยังไง? => เราดันมาซื้อตอนที่ราคามันขึ้นไปแล้วนะ? => เราจะมั่นใจได้ยังไงว่า
ราคาจะขึ้นต่อไปตามที่เราคำนวนไว้? => แล้วมันจะยังคงวิ่งไปใน”อนาคต” ทิศทางเดียวกับ “อดีต”? => มันเป็นไปได้ยังไง ?
แล้วนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของ
ทฤษฎี Momentum อันเป็น premiere market anomaly ที่ถูกพิสูจน์มานับร้อยปี และมันก็ยังคงอยู่
บางงานวิจัยยังบอกด้วยว่า มันอาจจะเป็น anomaly สุดท้ายที่ยังคงประสิทธิภาพอยู่
Momentum หลักการง่ายๆที่ฟังกันจนเบื่อคือ
หุ้นที่ขึ้นอยู่มันก็ยังคงทิศทางขึ้นต่อไป หุ้นที่ลงอยู่มันก็ยังคงทิศทางลงต่อไป
เรามาลองพิสูจน์ด้วยวิธีง่ายๆ
ไม่ต้องมี indicator ไม่ต้องมีตัวแปรอะไรเลย โดยซื้อทุกวันที่ 1 ของเดือน ถือแล้วขายในวันสุดท้ายของเดือน
เริ่มต้นเดือนใหม่ก็เหมือนเดิม ซื้อวันที่ 1 ขายสิ้นเดือน
ทำแบบนี้ไปทุกเดือน โดยเลือกหุ้นจากวิธีการง่ายๆ เรียงลำดับราคาหุ้นที่ขึ้นไปเยอะที่สุดในช่วงเดือนที่ผ่านมา
แล้วไล่ซื้อตั้งแต่ตัวที่ 1 (ราคาบวกเยอะที่สุดใน
1 เดือนที่ผ่านมา) ตัวละ 5% ของเงินทุนเรา (มันก็จะได้ราวๆ 20 ตัว +-)
กำหนดให้
-เงินทุนเริ่มตั้น 1 ล้านบาท
-ซื้อตัวละ 5 %ของเงินทุน ณ เวลานั้น (ได้กำไรมาก็ทบต้นไป ขาดทุนก็เสียไป
ไม่มีการถอนออก ไม่มีการเติมเงินเพิ่ม ไม่มีปันผล มีมากเท่าไหร่
เหลือน้อยเท่าไหร่ ก็เล่นตาม %)
-จำกัดปริมาณหุ้นที่จะซื้อ โดยซื้อได้ไม่เกิน 10% ของ volume ของหุ้นตัวที่จะซื้อ ในวันก่อนหน้าที่จะซื้อ(หรือวันสิ้นเดือนสำหรับบทความนี้) ถ้าไม่เกินก็ซื้อตาม 5% ของเงินทุน ถ้าเกินก็ซื้อ 10% ของ volume ที่เหลือเอาไปซื้อตัวถัดๆไป
-ค่า commission 0.25% ต่อคำสั่ง
-ซื้อราคา open ของวันที่
1 ของทุกเดือน
-ขายราคา close ของวันทำการวันสุดท้ายของเดือน
-Test ตั้งแต่วันที่ 1 ปี 1990 จนถึงวันที่ 1 ปี 2015 เป็นเวลา 25 ปี
เรามาดูผลในแบบที่ไม่ได้ปรับตัวแปรใดๆ
เราจะเห็นว่า
เริ่มต้นลงทุน 1 ล้านบาท 25 ปีผ่านไป
จะโตเป็นเงิน 158.9 ล้านบาท (หักค่า
comแล้ว 21.4 ล้านบาท)
มีอัตราทบต้นที่
22.47% ต่อปี
MaxDrawdown เงินทุนตกต่ำสุดที่ -73.73%
โดยซื้อ-ขายหุ้น 10516 ครั้ง คิดเป็นจำนวนหุ้นที่กำไร 46.55% และ หุ้นที่ขายขาดทุน 53.45% (ราวๆครึ่งๆ)
สรุปง่ายๆคือ
เราค้นพบความเป็นไปได้ของทฤษฎีนี้ 25 ปี
มันสามารถพาเรามาถึงจุดนี้ได้ ด้วยวิธีที่แสนง่ายดาย ไม่ต้องใช้การวิเคราะห์ใดๆเลย นั่นแสดงว่าช่องโหว่ของการทำกำไรด้วยวิธีนี้นั้นมีความเป็นไปได้ แต่มีเพียงครึ่งหนึ่งของหุ้นที่ซื้อขายกันกว่า 10000 ครั้ง ที่ราคาจะขึ้นต่อไปตามทฤษฎี เห็นแล้วก็บอกได้ว่ามันไม่ใช่การทำนายที่ดี พอๆกับโยนเหรียญหัวก้อย แต่สิ่งที่แปลกคือ อัตราส่วน payoff นั้น เฉลี่ยการขึ้นของราคา
นั้นมากกว่า เฉลี่ยการลงของราคาหุ้น อยู่ถึง 1.77
เท่า คือต่อให้เดาผิด ก็จะขายขาดทุนไม่เท่าไหร่(เฉลี่ย -12.28%) ในขณะที่กำไรก็จะได้มากกว่า (เฉลี่ย +20.92%)
ถามว่าทำไม? ทำไมมันเป็นแบบนี้? ไม่รู้เหมือนกัน ไม่รู้ทำไม ....มันคือความผิดปกติของตลาด
มันคือช่องโหว่ หรือ anomaly
ที่ทำให้พวกเรายังกำไรได้ ด้วยวิธีบ้านๆนี้... ถ้ามันไม่มี payoff ตรงนี้แล้วหละ ก็จะตอบได้แค่ ทฤษฎี momentum มันก็จะอวสานไป แค่นั้น เราก็ไม่อาจทำกำไรได้อีกต่อไปจากวิธีนี้
เดี๋ยวเราจะมาประยุกติ์กันต่อใน part 2 เพื่อให้มันสมจริงยิ่งขึ้น และปลอดภัยในทางจิตวิทยา
เดี๋ยวเราจะมาประยุกติ์กันต่อใน part 2 เพื่อให้มันสมจริงยิ่งขึ้น และปลอดภัยในทางจิตวิทยา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น