วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2558

Momentum (Monthly Rotational System) part 2

Momentum (Monthly Rotational System) part 2

(ต่อจาก part 1)
เรามาต่อกันดีกว่า อย่าไปเครียดอะไรกับมันมากเลย ทำกำไรไม่ได้ก็คือไม่ได้  คิดซะว่ามันไม่ใช่ที่ของเรา เราควบคุม anomaly ไม่ได้ เราแค่ต้องค้นหา anomaly อื่นต่อไป ถ้าหาไม่เจอก็อย่าเครียด ทำงานหาเงินแบบคนทั่วไปเนี่ยแหละ พอเพียง ชีวิตก็สุขแล้ว

จากที่สถิติข้างต้นในตอนที่แล้ว ปัญหาของเราตอนนี้คือ เราต้องเผชิญหน้ากับตลาด 94.26 % แสดงว่าทุกๆวันเงินเราจะออกรบอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ 94.26% ของเวลากว่า 25 ปี ทั้งเหตุการณ์หุ้นขึ้น หุ้นลง จิตตก ทำให้เราจะต้องเจอ Drawdown ระดับ 73.73% ก็พอดีฆ่าตัวตาย...

ต่อไปนี้จะซับซ้อนขึ้นมาอีกเล็กน้อย ผมจะเสนอวิธีการ Timing filter คือเราจะกรองเวลาที่ต้องอยู่ในตลาดหลักทรัพย์บางส่วนออกไป ง่ายๆก็คือ นำ index SET มากรองก็ได้ เช่น SET ยืนเหนือ Moving average ก็ถึงจะซื้อหุ้นได้ ถ้า SET อยู่ใต้ moveing average ก็ห้ามซื้อ แต่....มันจะมโนยกเมฆไปหน่อย

 ผมจะเริ่มจากศูนย์ก่อน ว่าทำไมที่มาที่ไปของ Timing filter จึงได้ผล เรามาลอง plot กราฟ ดูความสัมพันธ์ของระบบข้างต้นในตอนที่แล้วมาเปรียบเทียบกับ Index อ้างอิง โดยนำค่าการเปลี่ยนแปลงรายวันของเงินลงทุนในระบบอันนี้ เทียบกับการเปลี่ยนแปลงรายวันของ SET Index(ผมว่ามันสากลดี ใช้ง่าย ไม่ต้องคิดเอง)

ผมลองใช้ Periodic Daily Return (PDR) เป็นตัวคำนวนอัตราการเปลี่ยนแปลงรายวัน ( Logarithm แทนวิธีคำนวนแบบ linear) ที่เคยเกริ่นสั้นๆในตอนที่แล้วเพื่อความสมจริงยิ่งขึ้น


เราคำนวนค่า correlation ได้ ราวๆ  0.733128 แสดงว่าการเปลี่ยนแปลงรายวันของ SET กับ Port ของเรา แทบจะวิ่งไปทางเดียวกันเลยทีเดียว สังเกตุจาก coefficient หรือค่าความชัน 0.497 เรียกได้ว่าแทบจะทำมุม 45 องศา SET เปลี่ยน 1% Port เราก็จะวิ่งไป 1%

คิดตามนะครับ... วิเคราะห์ต่อได้ว่า นี่จริงๆแล้วถ้าหากว่าเราสามารถกรองช่วงที่ SET ลง ออกไปได้ Port เราก็จะมีความเสี่ยงต่อการเสียเงินน้อยลงด้วย แล้วยังลดการเผชิญหน้าต่อตลาดน้อยลงด้วยเป็นเงาตามตัว แสดงว่าเราน่าจะพบกับ Drawdown น้อยลง เราก็น่าจะมีเงินปลายทางเยอะขึ้น กำไรน่าจะดีขึ้น ....ประโยคนี้ก็จะกลายมาเป็น สมมติฐาน ....ต่อไปเราก็จะพิสูจน์

ผมก็ต้องเพิ่มตัวกรองง่ายๆ อย่างที่เรามโนไว้ข้างต้น (เราจะเลือกใช้อะไรก็ได้) แต่ในที่นี้ผมชอบ moving average โดยเราจะ ใช้ SET index กับ Moving average 20 วัน(1 เดือนพอดีๆ) โดยเราจะซื้อหุ้นเฉพาะช่วงที่ SET index ยืนอยู่เหนือ MA 20 วันของตัวมันเอง หาก SET อยู่ใต้  MA 20 วันก็ไม่ซื้อในเดือนนั้นๆ (ถ้าระหว่างเดือนถือหุ้นอยู่ แล้วกลางเดือนเกิด SET index หลุด MA 20 วันลงมา จะไม่ขายทิ้งนะครับ หลักการขายจะยังเหมือนเดิม ขายสิ้นเดือนเท่านั้น...) ข้อกำหนดทุกอย่างเหมือนเดิม เรามาดูผลกันว่าจะเป็นไปตามสมมติฐานกันหรือไม่ ถ้าไม่ผมก็จะหาเหตุผลต่อว่าทำไม correlation ที่วิ่งตามกันแบบนี้ มันเกิดจากปัจจัยอะไรกันแน่














จากสถิตินี้ เริ่มต้นลงทุน 1 ล้านบาท 25 ปีผ่านไป จะโตเป็นเงิน 330.76 ล้านบาท (เทียบกับของเดิม 158.9 ล้านบาท)  (หักค่า comแล้ว 25.07 ล้านบาท)

มีอัตราทบต้นที่ 26.11%ต่อปี (เทียบกับ 22.47% ต่อปี  )
MaxDrawdown เงินทุนตกต่ำสุดที่ -47.92% (เทียบกับ -73.73%)

โดยซื้อ-ขายหุ้นเหลือเพียง 6420 ครั้ง (เทียบกับ 10516 ครั้ง) คิดเป็นจำนวนหุ้นที่กำไร 49.41% (เทียบกับ 46.55%) และ หุ้นที่ขายขาดทุน 50.59% (เทียบกับ 53.45%) (ดีขึ้นนึดนึง ใกล้เคียงโยนหัวก้อยเหมือนเดิม)

Payoff ดูมีค่าที่น่าสนใจมากขึ้นที่ 2.25 เท่า กำไรไม่ค่อยเปลี่ยน แต่ ขาดทุนเฉลี่ยน้อยลงเหลือ -10.66% (เทียบกับ 12.28%)

สรุปคือ เราก็สามารถลด การอยู่ในตลาดได้เหลือ 54.14% ถือว่าดีมาก (ส่วนตัว  ผมถือว่าการ exposure ตลาดเยอะๆไม่เป็นผลดี เพราะ ตลาด=ความผันผวน อยู่ในตลาดนาน = เพิ่มความผันผวนในชีวิต = เครียด ระบบที่ดีคือระบบที่ต้องหนีตลาดได้ดี หรือหนีความผันผวนได้ดี)

ทั้งหมดก็เป็น idea ที่น่าจะช่วยฉุดความคิดใหม่ๆนะครับ จริงๆเราจะประยุกติ์เพิ่มเติมได้อีกมากมายตามแต่จินตนาการ แค่เราต้องคิดสมมติฐาน แล้วก็ทดสอบมัน บนเหตุผล ผมแนะให้ว่า ปัจจัยอะไรที่ใส่เข้าไปในระบบแล้วได้ผลดีโดยหาเหตุผลมารองรับไม่ได้ แสดงว่านั่นอาจจะเป็น market anomaly หรือมันเป็นแค่ความผิดพลาดทางการ backtest

ลองมาประยุกติ์ต่ออีกนิดนึงแถมให้ละกันครับ  เรื่องการ cut loss สมมติเราซื้อหุ้นไปแล้วมันดันผิดทาง แทนที่เราจะถือไปจนสิ้นเดือน เราตัดขาดทุนมันซะตรงนั้นเลย จะช่วยลดความตึงเครียดไปได้เยอะทีเดียว โดยผมจะใช้ระบบที่ใช้ SET index filter ข้างต้นนี้เหมือนเดิม เพียงแต่เพิ่มการ cut loss เข้าไปอีก โดยที่หากซื้อไปแล้ว ราคาหุ้นตกลงต่ำกว่าตอนเข้าซื้อมากกว่า 10% ผมก็จะขายในวันรุ่งขึ้นที่ราคา open ทันทีครับ ผลที่ได้






Drawdown น้อยลง เหลือ 38.31% กราฟ equity ดู smooth ขึ้น payoff ratio ดีขึ้นเป็น 2.50 เท่า .... หรือเราจะลองเปลี่ยนเป็น trailing stop ดู หรือเราจะลองใช้ EMA 10 วันแทน เราจะลอง optimize ค่าที่ดีทีสุดก็ได้ หรือจะลองใช้ RSI ของ SET ดู หรือจะเพิ่ม market cap ดู หรือจะเพิ่ม Vol เป็นตัวกรองสภาพคล่องอีกที ....มันก็ต้องลอง แค่นั้นเอง

ก่อนจบเรามาดูกันดีกว่าถ้านำมาใช้เมื่อต้นปีนี้(2015) จนถึงวันนี้ (04/09/2015) จะเป็นยังไง เงินเริ่มต้น 1 ล้านบาท






สังเกตุว่าตลาดหุ้นในปีนี้เป็น Downtrend มันก็หนีได้ดีพอสมควร ช่วงเรียบๆในกราฟ ก็จะไม่มีการลงทุนใดๆ เป็นการถือเงินสดรอโอกาส  DD ก็นิดเดียว 5.79% เท่านั้นเอง  (ปัจจุบัน DD -3.13% เท่านั้นเอง) แถมตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันนี้ก็ยังเก็บกำไรมาได้ 5.33% ไม่เลวทีเดียวสำหรับขาลง  

ทีนี้ต่อไปก็ลองเอาไปประยุกติ์กับพื้นฐานของหุ้น เราจะได้เลือกหุ้นได้ดีขึ้น หุ้นที่มีอนาคต ผลประกอบการไปวัดไปวาได้ แล้วก็เอา momentum นี้มาจับ  ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆนะครับ ลงทุนมีกำไรกันทุกคน ประเทศจะได้มีกำลังซื้อเยอะขึ้น ได้เงินมาก็เอาไปใช้จ่ายตามร้านค้านะ ร้านค้าก็มีเงินเยอะขึ้น เค้าก็ไปซื้อวัตถุดิบมากขึ้น  สินค้าราคาส่งก็ขายดีขึ้น  รากหญ้าก็มีเงินเยอะขึ้น นักลงทุนก็มาลงทุนเพิ่ม  ประเทศก็สวยงาม  เปิด AEC ก็ไปแข่งกับเค้าต่อ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น